เดิมพื้นที่อำเภอเบตงเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปัตตานี จึงทำให้ประชาชนดั้งเดิมของอำเภอเบตงนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของชาวมุสลิมเชื้อสายมลายามาก่อน ต่อมาในปีพุทธศักราช 2343 ได้มีชาวจีนกลุ่มแรกที่เดินทางจากประเทศจีนโดยนำเรือมาขึ้นฝั่งประเทศมาเลเซียแล้วเดินทางเท้า หรือนั่งเกวียนเข้ามายังพื้นที่อำเภอเบตง ชาวจีนส่วนใหญ่เมื่อเข้ามาในอำเภอเบตงก็ได้รับจ้างถางป่าหักร้างถางพงผืนป่า หลังจากนั้นก็มีชาวจีนอพยพเข้ามาเรื่อย ๆ อาจกล่าวได้ว่าชาวจีนที่อพยพมาจากมณฑลกวางสี ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของจีนที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศจีนซึ่งมีดินแดนบางส่วนติดกับประเทศเวียดนามเป็นกลุ่มชาวจีนกลุ่มใหญ่ที่สุดในอำเภอเบตงที่มีส่วนบุกเบิกอำเภอเบตงมากที่สุด ซึ่งในปัจจุบันชาวจีนในอำเภอเบตงมีหลากหลายกลุ่ม เช่น กวางตุ้ง กวางไส ฮกเกี้ยน ฮากกา และแต้จิ๋ว
จึงส่งผลให้ภาษาพื้นฐานในอำเภอเบตงมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับแวดวงทางสังคม เชื้อชาติ และศาสนา เช่น ภาษาไทย ภาษามลายูปัตตานี ภาษาจีนกวางตุ้ง ภาษาจีนกวางไสภาษาจีนแคะ ภาษาจีนฮกเกี้ยน และภาษาจีนแต้จิ๋ว
ศาสนา
จำนวนศาสนิกชนในอำเภอเบตง พ.ศ. 2550
ศาสนา
เปอร์เซ็นต์
อิสลาม
52.9%
พุทธ
46.4%
คริสต์
0.7%
ในปีพุทธศักราช 2550 อำเภอเบตงประกอบไปด้วยประชาชนนับถือศาสนาต่าง ๆ ดังนี้ [7]
· 52.9% ศาสนาอิสลาม 29,681 คน,
· 46.4% ศาสนาพุทธ 26,114 คน (รวมไปถึงนิกายเถรวาท และนิกายมหายาน),
· 0.7% ศาสนาคริสต์ 252 คน
มีจำนวนศาสนสถาน ดังนี้ มัสยิดทั้งหมด 25 แห่งวัดในพุทธศาสนา 4 วัด และโบสถ์คริสต์อีก 1 แห่ง
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าประชากรในอำเภอเบตงเป็นประชากรที่ความผสมผสานด้วยคนไทยหลากหลายเชื้อชาติ และศาสนา ทั้งคนไทยมุสลิม คนไทยพุทธ คนไทยเชื้อสายจีน และอื่น ๆ จึงทำให้มีความหลากหลายทางประเพณี และวัฒนธรรม วิถีชีวิต อาหารการกิน บรรยากาศของเมือง และประวัติศาสตร์ เมื่อรวมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เข้าด้วยกันจึงเป็นเอกลักษณ์ของอำเภอเบตงซึ่งแตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki
วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558
ภาษาและศาสนา
ภาษาและศาสนา
เดิมพื้นที่อำเภอเบตงเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปัตตานี จึงทำให้ประชาชนดั้งเดิมของอำเภอเบตงนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของชาวมุสลิมเชื้อสายมลายามาก่อน ต่อมาในปีพุทธศักราช 2343 ได้มีชาวจีนกลุ่มแรกที่เดินทางจากประเทศจีนโดยนำเรือมาขึ้นฝั่งประเทศมาเลเซียแล้วเดินทางเท้า หรือนั่งเกวียนเข้ามายังพื้นที่อำเภอเบตง ชาวจีนส่วนใหญ่เมื่อเข้ามาในอำเภอเบตงก็ได้รับจ้างถางป่าหักร้างถางพงผืนป่า หลังจากนั้นก็มีชาวจีนอพยพเข้ามาเรื่อย ๆ อาจกล่าวได้ว่าชาวจีนที่อพยพมาจากมณฑลกวางสี ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของจีนที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศจีนซึ่งมีดินแดนบางส่วนติดกับประเทศเวียดนามเป็นกลุ่มชาวจีนกลุ่มใหญ่ที่สุดในอำเภอเบตงที่มีส่วนบุกเบิกอำเภอเบตงมากที่สุด ซึ่งในปัจจุบันชาวจีนในอำเภอเบตงมีหลากหลายกลุ่ม เช่น กวางตุ้ง กวางไส ฮกเกี้ยน ฮากกา และแต้จิ๋ว
จึงส่งผลให้ภาษาพื้นฐานในอำเภอเบตงมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับแวดวงทางสังคม เชื้อชาติ และศาสนา เช่น ภาษาไทย ภาษามลายูปัตตานี ภาษาจีนกวางตุ้ง ภาษาจีนกวางไสภาษาจีนแคะ ภาษาจีนฮกเกี้ยน และภาษาจีนแต้จิ๋ว
ศาสนา
ในปีพุทธศักราช 2550 อำเภอเบตงประกอบไปด้วยประชาชนนับถือศาสนาต่าง ๆ ดังนี้ [7]
· 52.9% ศาสนาอิสลาม 29,681 คน,
· 46.4% ศาสนาพุทธ 26,114 คน (รวมไปถึงนิกายเถรวาท และนิกายมหายาน),
· 0.7% ศาสนาคริสต์ 252 คน
มีจำนวนศาสนสถาน ดังนี้ มัสยิดทั้งหมด 25 แห่งวัดในพุทธศาสนา 4 วัด และโบสถ์คริสต์อีก 1 แห่ง
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าประชากรในอำเภอเบตงเป็นประชากรที่ความผสมผสานด้วยคนไทยหลากหลายเชื้อชาติ และศาสนา ทั้งคนไทยมุสลิม คนไทยพุทธ คนไทยเชื้อสายจีน และอื่น ๆ จึงทำให้มีความหลากหลายทางประเพณี และวัฒนธรรม วิถีชีวิต อาหารการกิน บรรยากาศของเมือง และประวัติศาสตร์ เมื่อรวมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เข้าด้วยกันจึงเป็นเอกลักษณ์ของอำเภอเบตงซึ่งแตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ
วัฒนธรรมชาวเบตง
"ประเพณี และ วัฒนธรรมเมืองเบตง"
ซือดะบาเยาะ "ข้าวหลามเบตง" หนึ่งในอัตลักษณ์ที่สำคัญของ "มุสลิมเบตง"
เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเทศกาลฮารีรายอ อีดิ้ลฟิตริ การนำเสนอเรื่อง "ปูโล๊ะลือแมเบตง" จึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เพราะ เป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ที่สำคัญของ "มุสลิมเบตง" แต่สำหรับชาวอำเภอเบตง จังหวัดยะลานั้น แตกต่างจากที่อื่นๆ อาจเพราะภูมิประเทศ ทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ รวมไปถึงความห่างไกลจากพื้นที่อื่นๆ คนมุสลิมที่นี่ จึงมีเมนูที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของตนเอง คือ "ปูโล๊ะลือแม" ตามภาษาถิ่น หรือ "ข้าวหลามไผ่ตง" "ข้าวหลาม"บาซูก้า" ที่วัยรุ่นเขาเรียกกัน การจะหุง หรือ ย่างข้าวเหนียวในกระบอกไผ่ตง ที่ยาวกว่า 70 - 80 เซ็นติเมตร ภายในกระบอกเดียว ทานได้ทั้งครอบครัว จึงไม่ใช่เรื่องปกติหากไม่ใช่ คนเบตง
ประเพณีแห่ผ้าขึ้นห่มพระมหาธาตุเจดีย์ถวายเป็นพระราชกุศล
การแห่ผ้าขึ้นพระธาตุห่มพระมหาเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ เทศบาลเมืองเบตงได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเป็นการสืบสานประเพณีและถวาย เป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระน
างเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ของทุกปี โดยพระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ เป็นเจดีย์ศิลปะศรีวิชัยประยุกต์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ มีขนาดความกว้าง 39 เมตร สูง 39.9 เมตร จัดสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระนาง เจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2555 โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเจิมพระบรมสารีริกธาตุ และบรรจุในเจดีย์ รวมทั้งทรงทำพิธียกยอดฉัตรทองคำขึ้นประดิษฐานบนยอดองค์พระมหาธาตุด้วยประเพณีถศีลกินเจ ไทย-มาเลเซีย
ในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ เป็นวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามปฏิบัติสืบเนื่องกันมายาวนาน โดยเน้นการอนุรักษ์ความเป็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม ในเรื่องของอาหาร และการแต่งกาย
ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศ มาเลเซีย และสิงค์โปร์ เดินทางเข้ามาในอำเภอเบตงเป็นจำนวนมาก
ประเพณีชักพระเป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวใต้ ซึ่งเป็นประเพณีทำบุญในวันออกพรรษา ซึ่งตรงกับ วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ซึ่งเชื่อกันว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้า เสด็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระมารดา เมื่อครบพรรษาจึงเสด็จมายังโลกมนุษย์ พุทธศาสนิกชนจึงมารอรับเสด็จ แล้วอัญเชิญพระพุทธ เจ้าขึ้นประทับบน บุษบกแล้วแห่ไปรอบเมือง
เรือพระ คือ รถหรือล้อเลื่อนที่ประดับตกแต่งให้เป็นรูปเรือแล้ววางบุษบก ซึ่งภาษาพื้นเมืองของภาคใต้เรียกว่า "นม" หรือ "นมพระ" ยอดบุษบก เรียกว่า "ยอดนม" ใช้สำหรับอาราธนาพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานแล้วลากในวันออกพรรษา ลากพระทางน้ำ เรียกว่า "เรือพระน้ำ" ส่วนลากพระทางบก เรียกว่า "เรือพระบก" สมัยก่อนจะทำเป็นรูปเรือ ให้คล้ายเรือจริง ๆ และต้องทำให้มีน้ำหนักน้อยที่สุด จึงใช้ไม้ไผ่สานมาตกแต่งส่วนที่เป็นแคมเรือและหัวท้ายเรือคงทำให้แน่นหนา
ทางด้านหัวและท้ายทำงอนคล้ายหัวและท้ายเรือ แล้วตกแต่งเป็นรูปพญานาค ใช้กระดาษสีเงินสีทองทำเป็นเกล็ดนาค กลางลำตัวพญานาคทำเป็นร้านสูงราว 1.50 เมตร เรียกว่า "ร้านม้า" ส่วนที่สำคัญที่สุด คือ บุษบก ซึ่งแต่ละที่จะมีเทคนิคการออกแบบบุษบก มีการประดิษประดอยอย่างมาก หลังคาบุษบกนิยมทำเป็นรูปจตุรมุข ตกแต่งด้วยหางหงส์ ช่อฟ้า ใบระกา และทุกครอบครัวต้องเตรียม "แทงต้ม" เตรียมหาในกระพ้อ และข้าวสารข้าวเหนียวเพื่อนำไปทำขนมต้ม "แขวนเรือพระ"
ที่มา https://sites.google.com
สถานที่ท่องเที่ยวเมืองเบตง
สถานที่ท่องเที่ยวเมืองเบตง
เมืองเบตง
เมืองเบตง เป็นอำเภอชายแดนใต้สุดของประเทศไทย อยู่ห่างจากยะลา 115 กม.เป็นเมืองใหญ่ มีความเจริญ ทัดเทียมกับจังหวัดยะลาเลยทีเดียว มีถนนเชื่อมสู่เขตสหพันธรัฐ มาเลเซียตรงด่านเบตงซึ่งอยู่ใต้สุดของเขตแดนไทย ตัวเมืองตั้งอยู่ในเขตที่โอบล้อมด้วยทิวเขาสูงอากาศเย็นสบาย สามารถปลูกดอกไม้ได้ทั้งปี "จนได้ชื่อว่าเมืองในหมอก ดอกไม้งาม" มีนกนางแอ่นเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ช่วงเดือนกันยายน-มีนาคม จะมีนกนางแอ่นมาพักอาศัยในเมืองนี้นับหมื่นตัว
วัดพุทธาธิวาส
วัดพุทธาธิวาส สถาปัตยกรรมที่งดงาม จัดสร้างอย่างมีชั้นเชิง ลดหลั่นตามสภาพความลาดเอียงของภูมิประเทศ ก่อเกิดเป็นศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้ที่มานมัสการมิเคยขาด
อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์
อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ การใช้วิศกรรมชั้นสูง ในการก่อสร้างเป็นจุดเด่นแห่งอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อุโมงค์รถยนต์ลอดที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุด สวยที่สุด และเป็นหนึ่งในประเทศไทย ที่ตระหง่านอยู่กลางความภาคภูมิใจของชาวเบตง และชาวไทยทุกคน
ตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในประเทศ
ตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในประเทศ ตู้ไปรษณีย์ อาจเป็นสิ่งที่คุ้นตา กับชาวไทยเรา แล้วตู้ไปรษณีย์ที่มีขนาดความสูงกว่า 3 เมตร และมีเส้นรอบวงเกือบครึ่งเมตร
ตู้ไปรษณีย์แห่งนี้ ตั้งอยู่ ณ มุมถนนสุขยางค์ บริเวณสี่แยกหอนาฬิกาตั้งแต่ปี 2467 เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กมีเส้นรอบวงของตัวตู้ประมาณ 140 ซม. ตู้มีความสูงถึง 290 ซม. นับจากฐานขึ้นไป รวมความสูงทั้งหมดประมาณ 320 ซม. อายุร่วม 80 ปี ในอดีตการเดินทางและการติดต่อสื่อสารระหว่างอำเภอเบตงกับอำเภออื่น ๆ เป็นไปด้วยความยากลำบาก การติดต่อสื่อสารด้วยจดหมาย จึงสะดวกที่สุด โดยนายสงวน จิระจินดา นายกเทศมนตรีอำเภอเบตงในขณะนั้นเคยเป็นนายไปรษณีย์มาก่อน จึงได้จัดสร้างตู้ไปรษณีย์นี้ไว้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์การติดต่อสื่อสารของอำเภอเบตง และยังได้ติดตั้งวิทยุกระจายเสียงไว้ในส่วนบนของตู้ เพื่อให้ประชาชนได้รับฟังข่าวสารจากทางราชการด้วยและปัจจุบันตู้ไปรษณีย์ใบนี้ ก็ยังใช้งานอยู่พร้อมบริการรับจดหมายเหมือนตู้ไปรษณีย์ทั่ว ๆ ไป และเพื่อความเป็นที่หนึ่งเพื่อสื่อถึงสัญลักษณ์แห่งการสื่อสารของอำเภอเบตง เทศบาลเมืองเบตงจึงได้จำลองตู้ไปรษณีย์ขนาดใหญ่กว่าเดิมถึง 3.5 เท่า ตั้งอยู่ในบริเวณสวนมหาดไทย ศาลาประชาคม
หอนาฬิกา

มัสยิดกลาง

บ่อน้ำพุร้อน

สวนไม้ดอกเมืองหนาว

อุโมงค์ปิยะมิตร

ป่าบาลา-ฮาลา

ที่มา http://www.manager.co.th
อาหารพื้นเมืองเบตง
ไก่สับเบตง
ไก่สับเบตง เป็นอาหารที่เลิศรสและขึ้นชื่อของเบตง เป็นเมนูเด็ดที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดและนอกจากไก่สับแล้ว ไก่เบตงยังสามารถปรุงเป็นอาหารรสเลิศได้อีกหลายชนิด เช่น ไก่ตุ๋นเครื่องยาจีน ไก่ตุ๋นมะนาวดอง ต้มยำไก่ ไก่ต้มซีอิ๊ว โดยไก่เบตงเป็นไก่ที่เลี้ยงเฉพาะท้องถิ่นเบตง เนื้อจะหวานนุ่ม ไม่เปื่อยยุ่ยเหมือนไก่ทั่วไป เดิมเป็นไก่พันธุ์เลี้ยงชาน ที่ชาวจีนอพยพซึ่งมาตั้งรกรากในเบตงได้นำมาเลี้ยง และผสมพันธุ์กับไก่พื้นเมือง จนแพร่หลายถึงทุกวันนี้
เคาหยก
เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของเบตง ทำจากเนื้อหมูกับเผือก มีวิธีการปรุงที่พิถีพิถันสลับซับซ้อน โดยจะเริ่มจากการนำเนื้อหมู 3 ชั้นมาต้มให้สุก จากนั้นจึงนำขึ้นมาสะเด็ดน้ำในรังนึ่ง และใช้ช้อนส้อมจิ้มที่หนังหมูเพื่อให้น้ำมันไหลออกมา ทิ้งไว้สักพัก แล้วนำเกลือมาคลุกให้ทั่ว หลังจากนั้นนำไปทอดในน้ำมันที่เดือดปานกลาง จนสังเกตว่าหนังหมูเริ่มพอง แล้วจึงนำขึ้นมาสะเด็ดน้ำมัน และต่อด้วยการต้มอีกครั้ง เมื่อนำขึ้นจากหม้อต้มให้นำมาผ่านความเย็นทันที เพื่อเพิ่มความกรอบ จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หมักกับเครื่องยาจีน เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารให้ร่างกาย แล้วนำมาจัดวางสลับกับเผือกทอด แต่ก่อนที่จะรับประทานต้องนำไปนึ่งอีกครั้ง แล้วจึงโรยหน้าด้วยผักชี เพื่อดับกลิ่นคาว
ปลาจีนนึ่งบ๊วย
ในอำเภอเบตง ปลาจีนเป็นชื่อที่ใช้เรียกปลา 3 ชนิด คือชนิดแรก ปลาเฉาฮื้อ หรือปลากินหญ้า (Grass Carp) หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ctenopharyngodon idellus ชนิดที่สอง ปลาลิ่น หรือปลาลิ่นฮื้อ หรือปลาเกล็ดเงิน (Silver carp) หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hypophthalmichtys Molitrix ชนิดที่สาม ปลาซ่งฮื้อ หรือ ปลาหัวโต (Bighead Carp) ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Aristichthys hobilis ปลาจีนมีลักษณะคล้ายปลากระบอกแต่มีขนาดโตกว่า เหตุที่เรีกว่าปลาจีนเพราะเป็นปลามาจากประเทศจีน
ผัดผักน้ำ
ผัดผักน้ำ มีลักษณะคล้ายผักชีล้อม มีการเจริญเติบโตคล้ายผักบุ้ง ใบเล็ก ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ ชอบขึ้นในที่ที่มีอากาศเย็น มีการเจริญเติบโตได้ดีในหน้าฝน และหน้าหนาว หรือที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส มีน้ำไหลผ่านตลอดเวลา และต้องเป็นน้ำที่ไหลมาจากภูเขา โดยเฉพาะน้ำที่ไหลมาจากซอกหิน ชาวเบตงนิยมนำมาประกอบอาหารหลายอย่าง เช่น ผัดผักน้ำ ทำแกงจืด ต้มจิ้มกับน้ำพริก ต้มกับกระดูกหมู เป็นต้น นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณเป็นยาแก้ร้อนในอีกด้วย
กบภูเขาเบตง

หมี่เบตง

เฉาก๊วยโบราณ

ส้มโชกุน

เสน่ห์เมืองเบตง
เสน่ห์เมืองเบตง![]() |
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)