 |
ตัวเมืองเบตงในอ้อมกอดแห่งขุนเขา |
|
 |
“โอเค เบตง”
หลังภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายเมื่อหลายปีที่แล้ว คนก็พูดกันติดปากถึงอำเภอเบตง จ.ยะลา ที่อยู่ใต้สุดของเมืองไทยว่า โอเค...เบตง ซึ่งหากใช้กับสภาพการณ์ในตอนนี้ที่สถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ยังคงอยู่แต่ว่าลดกีกรีความร้อนแรงลงไปเยอะมาก เบตง เป็นพื้นที่หนึ่งในสามจังหวัดชายแดนใต้ที่ถือว่าโอเค คือกลับมาอยู่ในความสงบปราศจากเหตุไม่ปลอดภัยได้เกือบ 3 ปีแล้ว
ดังนั้นเมื่อโอกาสดีมาถึง “ตะลอนเที่ยว” จึงล่องใต้ไป 3 จังหวัดชายแดน ที่แม้ใครหลายคนจะหวั่นในสถานการณ์ และเสียงลือเล่าอ้างบวกข่าวที่โหมกระพือถึงความไม่ปลอดภัย แต่ในสภาพการณ์จริงชาวบ้านในพื้นที่เขาปรับตัวและใช้ชีวิตเหมือนปกติมานานแล้ว พวกเขารู้ว่าสถานที่ใดสมควรไป เวลาใดสมควรเดินทาง และจุดไหนควรหลีกเลี่ยง
ทำให้ช่วงที่เราไปเยือน 3 จังหวัดชายแดนใต้นั้นปลอดภัยหายห่วง โดยในจังหวัดสุดท้ายที่ยะลานั้น จากตัวเมือง(ในเวลากลางวัน)เราเดินทางผ่านถนนแห่งขุนเขาสันการาคีรีไปตามทางหลวง 410 อันคดเคี้ยวเลี้ยวๆลด ขึ้นๆลงๆ ประมาณ 140 กม. สู่ อ.“เบตง” ดินแดนที่มีคำขวัญว่า “เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน” |
 |
ตู้ไปรษณีย์ยักษ์ส่งความคิดถึงได้ทุกเมื่อ |
|
 |
โอเค...เบตง
เบตง เป็นเมืองในแอ่งกระทะล้อมรอบด้วยขุนเขาน้อยใหญ่ ที่อยู่ห่างจากด่านชายแดนเบตง-มาเลเซียเพียง 7 กิโลเมตรเท่านั้น เบตงเป็นพื้นที่พิเศษ รถในเมืองนี้สามารถใช้ทะเบียนเบตงได้เลย โดยไม่ต้องใชทะเบียนจังหวัดยะลา
ชื่อเบตงเป็นภาษามลายูหมายถึง“ไม้ไผ่” ในอดีตเมืองนี้มีไม้ไผ่มาก แต่ปัจจุบันในตัวเมืองมองหาต้นไผ่ไม่เห็นแล้ว มีแต่ไผ่ยักษ์จำลองซึ่งทางเทศบาลเมืองเบตงได้จัดสร้างไว้ที่สวนสาธารณะของเทศบาล
ไหนๆก็พูดถึงความใหญ่ยักษ์แล้ว เบตงโด่งดังมากในเรื่องของตู้ไปรษณีย์ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยตู้แรกต้นฉบับสุดคลาสสิคนั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มุมถนนสุขยางค์ บริเวณ 4 แยกหอนาฬิกา
ไปรษณีย์ยักษ์ตู้นี้ มีอายุกว่า 80 ปี สูง 3.2 เมตร เหตุที่ทางเมืองนี้ทำตู้ไปรษณีย์สีแดงยักย์ประดับเมืองไว้ เพราะในอดีตการเดินทางติดต่อสื่อสารจากเบตงไปยังเมืองอื่นๆเป็นไปด้วยความยากลำบาก การส่งจดหมายสื่อสารถึงกันนับเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ทำให้นายสงวน จิระจินดา นายกเทศมนตรีตำบลเบตงในขณะนั้น ที่มีความผูกพันกับตู้ไปรษณีย์ไม่น้อยเนื่องจากเคยเป็นนายไปรษณีย์มาก่อน ได้จัดสร้างตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางการสื่อสารที่ท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบตงไปโดยปริยาย
และด้วยความโดดเด่นของตู้ไปรษณีย์แห่งนี้ ทำให้ทางเทศบาลเมืองเบตงนำไปขยายผลด้วยการสร้างตู้ไปรษณีย์ยักษ์จำลองขึ้นใหญ่กว่าเดิมถึง 3.5 เท่า(ราว 9 เมตร) ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่หน้าศาลาประชาคม |
 |
หอนาฬิกาเบตง แลนด์มาร์คสำคัญ |
|
 |
อย่างไรก็ตามในเรื่องของความมีเสน่ห์และความคลาสสิคนั้น ตู้ไปรษณีย์ต้นฉบับกินขาด กลายเป็นหนึ่งในแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาส่งจดหมาย โปสการ์ด หรือมายืนแอ๊คท่าถ่ายรูปคู่กับตู้ไปรษณีย์ยักษ์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
นอกจากตู้ไปรษณีย์ยักษ์สุดคลาสิคแล้ว ใกล้ๆกันยังมีอีกหนึ่งความคลาสสิคตั้งตระหง่าน เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองนั่นก็คือ “หอนาฬิกาเบตง”ที่เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่อยู่เคียงคู่กับเมืองเบตงมาช้านาน หอนาฬิกาแห่งนี้ สร้างเป็นสัญลักษณ์จุดศูนย์กลางของเมือง ณ บริเวณจุดตัดของถนนสุขยางค์กับถนนรัตนกิจ ด้วยหินอ่อนขาวนวลดูสง่าน่ามอง |
 |
สายไฟมีชีวิตด้วยนกนางแอ่นจำนวนมาก |
|
 |
รอบๆหอนาฬิกาดูระโยงระยางไปด้วยสายไฟ ซึ่งในช่วงหัวค่ำสายไฟเหล่านี้จะเต็มไปด้วย สิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียกว่า “นกนางแอ่น” เกาะบนสายไฟเต็มพรืดไปหมด
นกนางแอ่นเหล่านี้หนีหนาวมาจากไซบีเรียมาอยู่เบตงในช่วงเดือนกันยายนถึงมีนาคม ยามหัวรุ่งพวกมันจะบินไปหาอาหารตามป่าเขา และกลับมาเกาะที่สายไฟในช่วงหัวค่ำเป็นอย่างนี้ทุกวัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนเบตง ซึ่งพวกเขาผูกพันและหวงแหนนกเหล่านี้ไม่น้อยเลย
สาววัยรุ่นบางคนจากที่เราได้เห็นมา เธอมารอซื้อโรตีเจ้าอร่อยที่ข้างหอนาฬิกาใต้สายไฟในช่วงหัวค่ำ แล้วจู่อะไรก็หล่นปุ๊ลงมาให้เธออุทานว่า “ยี้ ขี้นกตกใส่หัว” ก่อนจะหัวเราะขบขันไม่มีการสบถด่าทอหรือขับไล่นกเหล่านั้นแต่อย่างใด ในขณะที่ชาวบ้านบางคนก็ยินดีที่จะบอกเล่าเรื่องราวของนกเหล่านี้เท่าที่เขารู้ให้กับนักท่องเที่ยวต่างถิ่นอย่าง“ตะลอนเที่ยว”ซึ่งกับเมืองท่องเที่ยวหลายแห่งการมีสายไฟระโยงระยางพาดผ่านสถาปัตยกรรมอันสวยงามดูจะเป็นการทำลายเสน่ห์ของเมือง แต่กับที่เบตงสายไฟเหล่านี้กลับกลายเป็นส่วนเสริมเสน่ห์ของเมืองให้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น |
 |
อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์มีแบ็คกราวน์เป็นพิพิธภัณฑ์เมืองเบตง |
|
 |
จากบริเวณ 4 แยกหอนาฬิกา หากเดินขึ้นไปตามความชันเล็กน้อยของถนนก็จะพบกับ “อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์” อุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของเมืองไทย ที่ขุดทอดโค้งให้รถวิ่งไป-มา
อุโมงค์แห่งนี้ดูคลาสิคกว่าสมัยใหม่เพราะด้านหลังของอุโมงค์(เมื่อมองจาก 4 แยกหอนาฬิกาเข้าไป)ตะหง่านเงื้อมสวยงามไปด้วย “พิพิธภัณฑ์เมืองเบตง”กับงานสถาปัตยกรรมท้องถิ่นประยุกต์หลังคาซ้อนหลายชั้น |
 |
ศิลปวัตถุที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เบตง |
|
 |
ในพิพิธภัณฑ์ชั้นหนึ่งเก็บรวบรวมศิลปวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้ โบราณวัตถุ อาทิ ถ้วยชามเครื่องเคลือบ โต๊ะ ตู้ เตียง โบราณ ตะเกียงเก่า เรือสำเภาจำลอง กี่ทอผ้า อุปกรณ์ปั่นฝ้าย ส่วนชั้นสองจัดแสดงภาพเก่าเมืองเบตง และข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในเมืองนี้
พิพิธภัณฑ์เมืองเบตงยังมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือ เป็นจุดชมวิวชั้นดีที่เมื่อขึ้นไปชั้นบนสุดมองลงมาจะเห็นตัวเมืองเบตงได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ลานดาดฟ้าตึกหลังหนึ่งข้างๆพิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่เต้นแอโรบิกยามเย็นที่คึกคักไปด้วยลีลายักย้านส่ายส่วนต่างๆของร่างกายจากผู้คนในพื้นที่ ซึ่ง“ตะลอนเที่ยว” เห็นแล้วอดขยับแข้งขยับขาตามมาไม่ได้ |
 |
ตัวเมืองเบตงยามโพล้เพล้ |
|
 |
เย็นในวันนั้น “ตะลอนเที่ยว” เดินตามบันไดวนขึ้นไปชมวิวเมืองเบตงยามโพล้เพล้บนพิพิธภัณฑ์ ก่อนกลับลงมาสัมผัสกับเบตงยามค่ำคืน
หลังเกิดเหตุความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ความคึกคักในเมืองนี้ลดน้อยถอยลงไปพอสมควร แต่กระนั้นเบตงราตรีก็มีสีสันยามย่ำคืนให้สัมผัสกันตามอัตภาพ โดยคล้อยหลังจากตะวันตกดินไปได้ไม่นาน บรรดาผีเสื้อราตรีต่างก็ออกหากิน
ผีเสื้อเหล่านี้บินไม่ได้ เพราะไม่มีปีก มีแต่ความขาวอวบและความล้นเฉพาะพื้นที่ในบางคน ชนิดที่มันดันออกมาแข่งกับภูเขาน้อยใหญ่ที่โอบล้อมตัวเมืองเบตงอย่างไม่กริ่งเกรง
หลังจากเราเห็นภูเขาของผีเสื้อราตรีแบบเตะตาอย่างไม่ตั้งใจในยามค่ำคืน เช้าวันรุ่งขึ้น“ตะลอนเที่ยว” ตื่นแต่เช้าตรู่ ขึ้นไปบนดาดฟ้าของที่พักโรงแรมแมนดาริน อาคารสูงที่สุดในเบตงเพื่อชมทิวทัศน์ของภูเขาของจริงที่ทอดตัวเรียงรายโอบล้อมตัวเมืองนี้ ท่ามกลางสายหมอกบางๆที่ลอยเอื่อยมาทักทาย |
 |
เจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ วัดพุทธาธิวาส |
|
 |
จากด้านตัวเมืองหนาแน่น มองไปทางขวาเห็น “พระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ”แห่งวัดพุทธาธิวาส ตั้งตระหง่านโดดเด่นท่ามกลางแบ็คกราวน์ภูเขาน้อยใหญ่
“วัดพุทธาธิวาส” เดิมชื่อ“วัดเบตง” ซึ่ง“ตะลอนเที่ยว”เพิ่งไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดมาเมื่อบ่ายวันวานในทันทีที่มาถึงเมืองนี้เพื่อความเป็นสิริมงคล เพราะได้ยินถึงกิตติศัพท์ในความเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองเบตงมาช้านาน
ในวัดมีเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ ที่หมายถึงการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า ตั้งเด่นเป็นสง่าด้วยศิลปะศรีวิชัยอันสวยงามสมส่วน ภายในเจดีย์ชั้นบนสุดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และมีพระพุทธธรรมประกาศเป็นพระประทาน มีรอยพระพุทธบาทขนาดใหญ่อยู่ที่ชั้นล่าง |
 |
สีสันตลาดสดเทศบาลเบตงยามเช้า |
|
 |
ในขณะที่สิ่งน่าสนใจอื่นๆในวัดแห่งนี้ก็มีพระพุทธธรรมกายมงคลปยุรเกศานนท์สุพนิพานองค์โตให้สักการะ และวิหารหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
กลับมาต่ออารมณ์ยามเช้ากันต่อ หลังอิ่มตากับการชมวิวยามเช้าแล้ว เราออกจากโรงแรมเดินท่อมๆไปเติมความอิ่มท้องด้วยการหม่ำโจ๊กกบ(ภูเขา)ร้อนๆ
สำหรับอาหารเบตงถือเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ใครมาเยือนไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง โดยอาหารขึ้นชื่อ ก็มี ไก่สับเบตงจากเนื้อไก่เบตงอันนุ่มแน่น เคาหยกที่ทำจากหมู 3 ชั้นกับเผือก กบภูเขา ปลาจีนนึ่งบ๊วย ผักน้ำ หมี่เบตง และของหวานอย่างเฉาก๊วย
หลังกินโจ๊กกบเติมพลัง เรามุ่งหน้าไปยังตลาดสดเทศบาล ที่ยามเช้าคึกคักไปด้วยบรรยากาศการซื้อขายจากสินค้าอีนหลากหลาย และทหารยืนยามเฝ้ารักษาความปลอดภัย ที่แม้ว่าวันนี้จะโอเคที่เบตง แต่การไม่ประมาทป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าการล้อมคอกในภายหลัง |
 |
โครงการไม้ดอกเมืองหนาว อันเนื่องมาจากพระราชดำริ |
|
 |
ใต้ที่คล้ายเหนือ
นอกจากในตัวเมืองแล้ว นอกเมืองเบตงก็มากไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเส้นทางไต่เลาะขุนเขา วงรอบ โครงการไม้ดอกเมืองหนาว-อุโมงค์ปิยะมิตร-บ่อน้ำร้อน
ใน“โครงการไม้ดอกเมืองหนาว อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ยะลา”จุดแรกที่เราไปเยือนนั้น ไม่น่าเชื่อว่าสภาพพื้นที่จะมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปีและมีบรรยากาศคล้ายสวนดอกไม้ในดอยสูงทางภาคเหนือ
โครงการนี้สร้างตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้วยความร่วมมือของจังหวัดยะลากับศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือ สำนักงาน กปร. เป็นผู้ผลักดันอีกแรง |
 |
ดอกไม้งามในโครงการไม้ดอกเมืองหนาว |
|
 |
“โครงการไม้ดอกเมืองหนาว ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่ามีเฉพาะในเขตภาคเหนือเท่านั้น แต่สำหรับอำเภอเบตง พื้นที่ใต้สุดของประเทศมีภูเขาล้อมรอบ อากาศเย็นตลอดทั้งปี เหมาะกับการปลูกพืชเมืองหนาวเป็นอย่างยิ่ง” คุณเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ เลขาธิการ สำนักงาน กปร.ให้ข้อมูลกับเรา
สำหรับโครงการไม้ดอกเมืองหนาว เป็นการศึกษาทดลองปลูกไม้ดอกเมืองหนาวต่างๆ อาทิ เบญจมาศ กุหลาบ เยอบีรา หน้าวัว ไฮเดนเยีย ดาวเรือง ทานตะวัน ซัลเวีย นอกจากนี้ทางโครงการยังนำร่อง ขยายผล และเป็นต้นแบบให้ชาวบ้านในพื้นที่เพาะปลูกพืชเมืองหนาวขาย |
 |
สวนไม้ดอกเมืองหนาวของชาวบ้าน |
|
 |
นั่นจึงทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านปิยะมิตรจำนวนหนึ่งรวมกลุ่มกันปลูกพืชเมืองหนาวส่งขายในพื้นที่ภาคใต้ สร้างรายได้เลี้ยงตัวแบบพอเพียงได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปทำงานต่างถิ่น
ไม่เพียงเท่านั้นชาวบ้านกลุ่มนี้ยังเรียนรู้ นำต้นแบบจากโครงการไม้ดอกเมืองหนาวมาจัดสร้าง เป็น“สวนไม้ดอกเมืองหนาว” ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับโครงการไม้ดอกเมืองหนาวชนิดเดินไปมาหาสู่กันได้
สวนไม้ดอกเมืองหนาว ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจของเบตง มีการจัดสวนตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนต้น ก้อนหิน สระน้ำ และองค์ประกอบอื่นๆอย่างสวยงาม
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารของชุมชนขายของที่ระลึก และขายอาหารเมนูเด็ดของเบตง ตามที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น นับเป็นการเดินตามรอยพ่อที่เห็นประสบผลสำเร็จอย่างชัดเจน |
 |
ซุ้มประตูทางเข้าอุโมงค์ปิยะมิตร |
|
 |
จากสวนไม้ดอกเมืองหนาว เดินทางต่อไปในถนนสายเดิมจะพบกับที่ตั้งของ “อุโมงค์ปิยะมิตร”หรือ“อุโมงค์เบตง” ที่มีลักษณะรูปแบบคนละเรื่องกับอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ในตัวเมืองเลย
อุโมงค์ปิยะมิตร สร้างโดยกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา ในปี พ.ศ. 2519 เพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการของมาชิกพรรคฯ เป็นอุโมงค์มีความกว้างพอคนเดินได้ ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร คล้ายๆกับอุโมงค์ “กู๋จี” ของพวกนักรบเวียดกงที่โฮจิมินห์ |
 |
นั่งแช่น้ำพุร้อน ผ่อนคลาย สบายเท้า |
|
 |
ปัจจุบันอุโมงค์มีรอยอดีตทิ้งไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ทัศนา อาทิ ห้องนอนเตียงดินเหนียว อุปกรณ์การสู้รบ เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ รวมถึงห้องบัญชาการรบที่จุคนได้มากถึง 200 คน
หลังเสร็จสิ้นการเที่ยวอุโมงค์เราเดินทางต่อไปปิดท้ายเส้นทางวงรอบกันที่ “บ่อน้ำพุร้อน” ต.ตาเนาะแมเราะ ที่บ่อใหญ่มีความร้อนชนิดผู้ชายหลายคนกลัวเพราะ“ต้มไข่สุก”ภายในเวลาแค่ 7 นาที ในขณะที่บ่อเล็กได้มีการขุดทอนความร้อนของสายน้ำให้เราๆท่านๆ สามารถนั่งเอาเท้าแช่น้ำกันได้แบบร้อนพอสมควรแต่ไม่ถึงกับต้มไข่สุก |
 |
สองสาวเบตงขึ้นมาชมวิวในชั้นบนของพิพิธภัณฑ์ |
|
 |
จากน้ำพุร้อน เราเดินทางย้อนกลับเข้าสู่ตัวเมืองเบตงอีกครั้ง ก่อนจะล่ำลาจากเมืองนี้ด้วยความรู้สึกเสียดาย และเห็นใจชาวเบตงที่ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนกับเหตุการณ์ความไม่สงบ ทั้งๆที่สถานการณ์เมืองนี้โอเคมานานแล้ว
ที่มา http://www.manager.co.th
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น